เริ่มจาก..
เผื่อใครไม่ได้ตามเรื่อง ผมจะเล่า
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วไทยยึดเส้นสีแดง กัมพูชายึดเส้นสีน้ำเงิน- ศาลโลกสั่งให้ไทยถอนกำลังออกจาก "บริเวณปราสาท" เมื่อปี 2505
- ไทยเลยถอย เอารั้วไปวางไว้ตรงเส้นเหลือง
. . . - รอบนี้กัมพูชาขอให้ศาลตีความว่า "บริเวณปราสาท" ว่าคือส่วนไหนบ้าง(แน่นอนเค้าชอบเส้นสีน้ำเงิน)
รอบนี้เลยเป็นการสู้โดยไทยยึดเส้นเหลือง(และแดง) กัมพูชายึดเส้นน้ำเงิน
ทีนี้มันมีบางอย่างเกิดขึ้นก่อนจะมาสู่ศาลโลกครั้งนี้
...ปี 2548 กัมพูชาขอจดทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ซึ่งยูเนสโกยังเห็นว่ามีปัญหาเรื่องเขตแดน เลยให้มาตกลงกับไทยก่อน กัมพูชาเลยขอขึ้นทะเบียนแค่ "ตัวปราสาท" และไทยก็ได้เสนอให้ขึ้นทะเบียนร่วม โดยพื้นที่บริเวณตัวปราสาทบริหารร่วมกัน
...จนกระทั่งมีกระแสคลั่งชาติว่า รัฐบาลยกพื้นที่ให้กัมพูชา มีการประท้วง นายนพดล ปัทมะ(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในขณะนั้น)ต้องลาออก
...ไทยหาเรื่องเค้าและเกิดการต่อสู้ ยิงกันที่ชายแดน
...กัมพูชาจึงวิ่งไปที่ศาลโลก
เผื่อยังจับประเด็นไม่ได้
มันก็ต้องมีอะไรพลาดซักอย่างล่ะครับ
ลองมาเริ่มต้นใหม่จากปี 2548 ถ้าไทยไม่บ้าจี้เกินไป
สรุปคือ
...ไทยหาเรื่องเค้าและเกิดการต่อสู้ ยิงกันที่ชายแดน
...กัมพูชาจึงวิ่งไปที่ศาลโลก
เผื่อยังจับประเด็นไม่ได้
- ก่อนนี้คนไทยส่วนนึงคิดว่า "พื้นที่ใต้ตัวปราสาท" เป็นของไทย การที่ไทยไปยอมให้ขึ้นมรดกโลก เป็นการยกพื้นที่ตรงนั้นให้กัมพูชา
- แต่ในศาลโลกตอนนี้ เราสู้โดยยึดเส้นเหลือง ซึ่งแปลว่าที่ตรงนั้นเป็นของเค้าไปแล้ว
มันก็ต้องมีอะไรพลาดซักอย่างล่ะครับ
- พลาดที่ทีมทนายชุดนี้เลือกยึดเส้นเหลือง?
- พลาดที่โดนกลุ่มคนคลั่งชาติปั่นหัวจนต้องยิงกับประเทศข้างๆ? ทั้งที่เขาพร้อมจะเจรจา
ลองมาเริ่มต้นใหม่จากปี 2548 ถ้าไทยไม่บ้าจี้เกินไป
- เราได้บริหารปราสาทพระวิหารร่วมกับกัมพูชา
- ไทยไม่ต้องรบกับพระเทศเพื่อนบ้าน ไม่มีทหารต้องเจ็บ
- นายนพดล ปัทมะไม่ต้องลาออก กับความผิดที่ไม่มีอยู่จริง
สรุปคือ
- เมื่อสี่ห้าปีที่แล้ว เราทะเลาะกันเองเรื่องรัฐบาลยกพื้นที่ให้กัมพูชา มีรัฐมนตรีลาออก และเกิดการยิงกันที่แนวชายแดน
- วันนี้เราได้ยืนยันกับศาลโลกว่าพื้นที่ตรงนั้นกับปากเราเองว่าพื้นที่ตรงนั้นไม่ใช่ของเรา